ประโยชน์ของหลอดไฟ LED ข้อดีที่อยากแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้
หากคุณยังจำได้เมื่อหลายปีก่อนรัฐฯมีการรณรงค์เปลี่ยนจากหลอดไส้มาใช้ หลอดเป็นหลอดฟลูออเรสเซ็นต์หรือหลอดนีออนที่ประหยัดไฟแทน จากนั้นการพัฒนาการให้เป็นหลอดนีออนที่ผอมลงประหยัดไฟมากขึ้นและให้ความ สว่างมากขึ้น จนพัฒนามาเป็นโคมไฟแบบคอมแพ็คฟลูออเรสเซ็นต์ที่ไม่ต้องมีบัลลาสต์หรือ สตาร์ทเตอร์เลย(ซึ่งที่จริงก็ยังมีอยู่นะ เพียงแต่ย่อส่วนให้เล็กลงและกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของโคมไฟได้เลย โดยไม่ต้องซื้อเพิ่มต่างหาก) และในปัจจุบันหลอดตะเกียบประหยัดไฟฟ้าคือหลอดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทุกบ้านต้องมีหลอดแบบนี้ใช้กัน เพราะให้ความสว่างที่มากกว่าหลอดไส้แบบเดิม แถมยังประหยัดไฟมากกว่าด้วย และแถมท้ายด้วยหลอดฟลูออเรสเซ็นต์รุ่นใหม่ที่ทีขนาดเล็กลง ให้แสงสว่างมากขึ้น
แต่เมื่อไม่นานมานี้เราได้รับข่าวสารที่น่ายินดียิ่งนักเมื่อเทคโนโลยีการ ส่องสว่างได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ด้วยการผลิตหลอดไฟ LED ที่สามารถใช้งานทดแทนหลอดตะเกียบแบบเดิมได้เลย โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนโคมไฟแต่อย่างใด เพราะผู้ผลิตได้ผลิตขั้วหลอด LED นี้ให้ใช้กับขั้วหลอดเดิมได้(ก่อนเปลี่ยนต้องดูขั้วหลอดให้ดีก่อนนะครับ ว่าตรงกันไหม เป็นไปได้เอาหลอดเก่าไปด้วย จะได้เทียบกันได้เลยมาเหมือนกัน)
หลอดไฟ LED คืออะไร
หลอดไฟฟ้า LED ย่อมาจากLight-emitting diode ทำจากอุปกรณ์ไฟฟ้ากึ่งตัวนำ หรือศัพท์เฉพาะทางเรียกว่าไดโอดเปล่งแสงมีการพัฒนาจากแค่เพียงอุปกรณ์เล็กๆ ที่ทำหน้าที่เปล่งแสงออกมาเพื่อแสดงสถานะของอุปกรณ์ไฟฟ้าชิ้นนั้นว่ามีกระแส ไฟฟ้าอยู่หรือมีสถานะใดๆตามสีที่แสดงออกมา และพัฒนามากขึ้นมาเป็นหลอดไฟLED Strip ที่ใช้เป็นไฟสำหรับตกแต่งให้ได้สีและแสงตามที่ต้องการ จากนั้นมีการนำมาใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าส่องสว่างหลายๆอย่าง เช่น ไฟฉาย LED ไฟสำรองรองฉุกเฉิน ที่เราคุ้นเคยกันดีก็น่าจะเป็นทีวีแบบ LED ที่เคยได้รับความนิยมอยู่ช่วงหนึ่ง และพัฒนาเรื่อยมาเป็นหลอดไฟ LEDที่ใช้งานตามบ้านในครัวเรือน สำนักงาน หรือสามารถทดแทนหลอดไฟฟ้าแบบเดิมได้เลยด้วยข้อดีหลายๆอย่าง เช่น กินไฟน้อยกว่า ให้ความสว่างกว่า มีอายุการใช้งานที่นานกว่า สามารถควบคุมสี และแสงของหลอดไฟ LED ได้มากกว่า ลดการสูญเสียพลังงานไปได้มากกว่าด้วย
หลอดไฟฟ้า LED ทำงานอย่างไร
อย่างที่บอกไปแล้วว่า หลอดไฟ LED เป็นไดโอดเปล่งแสง หรือเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กึ่งตัวนำชิ้นหนึ่งที่เมื่อจ่ายกระแสไฟฟ้า เข้าไปที่ตัวหลอดไฟ LED ก็จะสว่างขึ้นในทันทีโดยไม่ต้องมีการจุดหรือสตาร์ทหลอดไฟเหมือน หลอดแสงจันทร์ หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดไฟ LED สามารถควบคุมแสงและสีได้ ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบทางเคมีของวัสดุที่นำใช้โคมกระจายแสงของหลอดไฟ LEDนั่นเอง
- ใช้ไฟน้อยกว่า ให้แสงสว่างที่มากขึ้น การสังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้าแต่ละชนิดให้ดูที่ ฉลากของกล่องทีเป็นตัวอักษร เช่น 50lm/w หมายถึง ความสว่าง 50Lumen ต่อ 1วัตต์ หากหลอดไฟเป็นแบบ 5วัตต์ ก็เอา 5คูณเข้าไปก็จะได้ความค่าความสว่างเท่ากับ 250Lumen นำมาเปรียบเทียบกับหลอดตะเกียบ 5วัตต์เท่ากันก็จะทราบแล้วว่าหลอดไฟแบบไหนให้ความสว่างมากกว่าในจำนวนวัตต์ ที่เท่ากัน
- สว่างทันที ไม่ต้องรอเวลา ไม่หน่วงเวลาหลังจากเปิด เปิดปุ๊บสว่างปั๊บเลยครับ หากเป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์จะต้องรอเวลาจากสตาร์ทเตอร์ก่อน 1-2วิ หลอดจึงจะติด หลอดแสงจันทร์จะต้องวอร์มหลอดก่อนที่จะเปิดใช้งาน แต่หลอดไฟ LED สว่างทันทีไม่ต้องรอ
- สามารถเปลี่ยนแทนหลอดตะเกียบเก่าได้เลยหากคุณต้องการที่จะเปลี่ยนมาใช้หลอด ไฟ LEDคุณสามารถเปลี่ยนได้เลยครับ เพียงแค่ต้องรู้ว่าขั้วหลอดนั้นเป็นแบบไหน โดยปกติแล้วในฉลากจะแสดงข้อมูลไว้แล้ว เช่น 5W E27 220-240V 350Lumen ซึ่งความหมายของแต่ละตัวอักษรนั้นต่างกัน5Wหรือ 5วัตต์ คือค่ากำลังงานไฟฟ้าที่หลอดต้องการใช้งาน, E27คือประเภทของขั้วหลอดแบบเกลียวขนาด 27 , 220-240V คือแรงดันไฟฟ้าที่หลอดสามารถรับได้ 350Lumen คือค่าความส่องสว่างของหลอดไฟ ถ้าไม่แน่ใจก็เอาหลอดเก่าไปเทียบดูก็ได้ครับ หรือให้ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นดูให้ครับจะได้นำมาเปลี่ยนได้
- ควบคุมการกระจายแสงได้ หลอดไฟ LEDถูกออกแบบมาให้สามารถควบคุมทิศทางการกระจายแสงได้ตามที่ต้องการ โดยไม่เกิดความสูญเสียแสงสว่างไปจากหลอดในทิศทางอื่นดังนั้นคุณสามารถใช้แสง สว่างทั้งหมดที่ได้หลอดไฟ LEDแบบเต็มเต็มได้เลย
- ลดความร้อนที่เกิดขึ้นจากตัวหลอด ด้วยการเปล่งแสงจากสารกึ่งด้วยนำของหลอดไฟ LED ไม่ใช่การเผาไส้หลอดด้วยเกิดความร้อนเหมือนหลอดไส้ หรือหลอดฮาโลเจนที่ทำให้เกิดความร้อนสูง ซึ่งเราไม่ต้องการความร้อนนั้น เราต้องการแค่แสงสว่างเท่านั้น หลอดไฟ LED สามารถช่วยลดความร้อนที่เกิดขึ้นที่ตัวหลอดและสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ นั้นด้วย
- ไม่มีรังสี UV อันนั้นเรียกได้ว่าสามารถป้องกันโรคได้เลยก็ว่าได้ครับ เพราะรังสี UV จากหลอดไฟฟ้านั้น หากได้รับอย่างต่อเนื่องจากจะเป็นอันตรายกับร่างกายได้ โดยเฉพาะจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ แต่สำหรับหลอดไฟ LED ไม่มีการแผ่กระจายหรือสร้างรังสี UV ออกมาแต่อย่างใด
- อายุการใช้งานยาวนานขึ้น คำโฆษณาของหลอดไฟ LEDที่บอกว่าสามารถใช้งานได้มากถึง 25,000ชั่วโมง ผมจะไม่ปักใจเชื่อซักเท่าไหร่ครับ แต่จากตัวอย่างของหลอดไฟ LED ที่ทำขึ้นมาก่อนที่จะเป็นหลอดไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านนั้นก็พอที่จะมีความเป็นไป ได้สูงอย่างเช่น หลอดไฟLED Strip ที่ใช้เพื่อการตกแต่งต่างๆนั้นไม่เคยต้องเปลี่ยนเลยครับ ก็ยังสามารถส่องสว่าง สวยงามได้นานอยู่ หากอายุการใช้งานของหลอดไฟLED ได้ซักครึ่งหนึ่งของคำโฆษณาของแต่ละยี่ห้อก็ถือว่าดีมากแล้วครับ นั้นหมายถึงว่านานกว่าหลอดตะเกียบเป็นไหนๆ
ต้องบอกก่อนว่า นั่นคือข้อดีที่เปรียบเทียบกับหลอดตะเกียบประหยัดไฟที่เราๆท่านๆใช้งานอยู่ ในปัจจุบันนี้ แหละครับ เรียกได้ว่ามันดีกว่าเห็นๆ แล้วทำไมคุณจึงไม่เปลี่ยนไปใช้งานหลอดไฟ LED ล่ะครับ แม้ว่าในตอนนี้ราคามันจะแพงกว่าหลอดตะเกียบถึง 1เท่าก็ตาม ในขนาดวัตต์ที่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น หลอดตะเกียบประหยัดไฟ 5วัตต์ ราคา 100บาท(ราคาสมมุตินะครับให้มองภาพออกและเข้าใจได้ง่ายขึ้น..) ราคาหลอดไฟ LED จะอยู่ที่ประมาณ 180-200บาท ซึ่งหากเทียบในเชิงคุณภาพสินค้าแล้วหลอดไฟ LEDสามารถให้ความสว่างที่เพิ่มขึ้นกว่า ย่อมคุ้มค่าที่จะใช้งานแล้วครับ หรือหากต้องการความสว่างที่เท่าเดิมคุณก็ลดขนาดวัตต์ลงแล้วเลือกจากค่าความ ส่องสว่าง(Lumen)ของหลอดแทนอาจจะลดจำนวนวัตต์ลงไปและซื้อได้ในราคาถูกกว่า ด้วยครับแถมไม่ต้องกังวลเรื่องหลอดขาดหรือต้องเปลี่ยนหลอดใหม่เพราอายุการ ใช้งานของหลอดไฟ LEDนั้นยาวนานจริงครับ
แนวโน้มการเลือกใช้งานหลอด LED ในอนาคต
เชื่อได้อย่างแน่นอนว่าหลอดไฟ LED คือความนิยมของหลอดไฟฟ้าที่จะตามมาในอนาคตอย่างแน่นอนครับ อาจจะสามารถทดแทนการใช้งานหลอดไฟฟ้าของทั้งประเทศได้มากถึง 50% ที่เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED นอกจากประโยชน์และข้อดีหลายๆอย่างแล้ว สามารถทดแทนหลอดแบบเก่าได้ และจะมีการผลิตออกมาหลากหลายรูปแบบมากขึ้น จากในปัจจุบันยังมีการผลิตออกมาจำหน่ายเพียงไม่กี่แบบ และสามารถเลือกวัตต์ได้ไม่หลากหลาย และราคายังแพงกว่าหลอดตะเกียบหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์อยู่ แต่ไม่นานเมื่อผู้ผลิตหลอดไฟฟ้าต่างๆซึ่งมาหลายแบรนด์เห็นว่าประชาชนเริ่ม หันมาใช้กันมากขึ้น จะเกิดการแข่งขันในเรื่องคุณภาพสินค้าที่ดีมากยิ่งขึ้น และราคาถูกลงเท่ากับหลอดตะเกียบในปัจจุบันภายในไม่กี่ปีแน่ครับ สำหรับท่านที่เห็นถึงข้อดีของหลอดไฟ LED ขนาดนี้แล้ว จะไม่ลองเปลี่ยนมาใช้บ้างเหรอครับ อาจจะจ่ายแพงกว่านิดหน่อย แต่คุ้มค่าสำหรับการลงทุนอย่างแน่นอนครับ